Blogs
Laberinto del fauno El
ผมเพียงคิดว่า ผมยังไม่ถึงเวลา ที่ต้องมานั่งบ่นอะไรจริงๆ จังๆ แบบรวดเร็วขนาดนี้ แต่ถ้ามันหนักขนาดนี้ เห็นทีต้องบ่นกันสักนิด อาจจะไม่ใช่เชิงบ่นอย่างเดียว ออกจะเบนไปในทาง พูดคุยเรื่อง สื่อสารมวลชน ที่มีอยู่ในบ้านเราตอนนี้มากกว่า โดยเฉพาะ ที่ผมได้เสพ บ่อยที่สุดคงจะเป็นภาพยนตร์
ช่วงสงกรานต์ หยุดยาว ผมไม่มีโอกาสได้ไปไหน เพราะทั้งขี้เกียจ และเม็ดเงินไม่อำนวย มีโอกาสแค่เพียงเดินๆ ไปมา ระหว่างที่ห้องพัก กับโรงหนัง
ไล่มาตั้งแต่
- เมล์นรก หมวยยกล้อ
- ขบวนการเต่านินจา (ไม่รู้จะดูอะไร)
- Sunshine
และ เมื่อวานไปดู Laberinto del fauno El หรือ ชื่อภาษาอังกฤษว่า Pan s Labyrinth
ผมรู้สึกเศร้าใจ เศร้าใจที่เหล่าผู้ปกครองทั้งหลาย หอบลูกหอบหลานเข้าไปดูหนังเรื่องนี้กัน ครึ่งโรง เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังระงม
อายุไม่เกิน 10 ขวบกันทั้งนั้น จากการประมาณการ
ย้ำ และขอย้ำ มันไม่ใช่หนังสำหรับเด็กครับ
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่า ผู้ปกครองเอาอะไรเป็นเครื่องชี้วัดว่าหนังเรื่องนี้เหมาะสมกับลูกหลานของตัว เอง วันหยุดสงกรานต์ พาลูกๆ ไปดูหนัง ผ่อนคลาย
สงกรานต์และครอบครัว
ผมพยายามนึกว่า ผมมีความสนุกสนานกับเทศกาล สงกรานต์ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือ ได้เปียก กับสงกรานต์ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มันลางเลือน ระหว่าง 5 หรือ 6 ปีย้อนหลัง แค่เพียงรู้สึกเฉยๆ กับงานเทศกาล แบบนี้ ไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญ แต่ความรู้สึกมันเฉยๆ มากกว่า เฉกเช่นเดียวกับงาน ปีใหม่
ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้กลับบ้านเลย ผมกลับไป เยี่ยมแม่ แลพี่ๆ แต่ปีนี้ ผมก็พลาดการ รดน้ำ กระดูกพ่อ อีกครั้ง
แค่เพียงผมกลับไปก่อนสงกรานต์ แค่นั้นเอง ครอบครัวของผมจึงได้เฮฮา แม่ พี่น้องและหลานๆ ก่อนสงกรานต์ และก่อนใครในหมู่บ้าน
มันเป็นวันธรรมดา ของคนอื่น แต่มันไม่ใช่วันธรรมดาของครอบครัว “อันทะวงษา” ที่จะสามารถรวมพลกันได้ทั้งครอบครัวขนาดนี้ แม่ 1 และลูกๆ อีก 8 คน ซึ่งแต่ละคน ก็มีหน้าที่การงานกันหมดแล้ว พร้อมเหล่าหลานๆ สุดแสนจะดื้อซน ที่พวกมันจะตื่นเช้าอะไรกันนักหนา
ขี้เกียจ เครียด นอน
เป็นบ่อยๆ ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น คือ ยิ่งใช้ชีวิตนานๆ ความดักดานเลยมาเยือน เมื่อนั้นฉันใด หายนะไซร้ ถามหา
ตามประสา พวกสมาธิสั้น ความฝันยาวอย่างผม อยากได้อะไรก็ฝันเอา มีความสุขกับฝันลมๆ แล้งๆ ไปวันๆ (กรุณาอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรใกล้ ผู้ป่วยควรเอาไปอยู่ด้วย) คิดอยู่นั่น ไม่ค่อยทำไร
ผลออกมาก็เลย ฉลาดน้อยไป ทำไรไม่ค่อยได้
พอทำอะไรไม่ได้ ก็เครียด เครียด เครียด แล้วก็ นอนเพื่อให้หายเครียด
ตื่นมาก็ ขี้เกียจ ไม่รู้จะทำอะไร คิดไม่ออก เพราะสมองน้อย คิดไรไม่ออกก็เครียด เครียดแล้วก็นอน เพื่อให้หายเครียด
สุข ที่ได้ทุกข์
บางที คนเราเมื่อทำอะไรผิดพลาดก็มีการให้อภัยกันไป และบางที มันทำให้เกิดการไม่จดจำ
มันก็ยังผิดซ้ำ ซ้ำ เสมอ เสมอ จนสุภาษิต ที่ว่า คนที่ไม่เคยทำผิด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย เอามาใช้หลอกตัวเองไม่ได้อีกแล้ว
แต่บางคน ชอบที่จะมีความทุกข์ เพื่อที่จะให้ตัวเอง ได้เสพสุขกับความทุกข์ ที่กำลังเป็นอยู่
การเก็บรายละเอียด บ้างบางครั้ง ขนาดที่เราเก็บกด และกดดัน อาจจะทำให้เราคิดอะไร ได้กว้างมากยิ่งขึ้น แต่ในทางกลับกัน มันเป็นการทำร้ายสภาพจิตใจและส่งให้เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายได้ ในท้ายที่สุด
แต่ ถ้ารับไหว ก็ถือได้ว่าเป็นผลดี ที่จะได้เรียนรู้ชีวิต อีกฝั่ง มองตัวเองด้าน ข้าง ข้างบ้าง คงดี
ควาย เครื่องบินและแท๊กซี่
ฤดูฝน พ.ศ. 2529 / อุดรธานี / บนหลังควาย
ฟ้าครื้มตั้งเค้ามาแต่ไกล ตามสไตล์ฤดูฝนแดนอีสาน ลักษณะอย่างนี้บอกได้คำเดียวว่า หนักแน่นอน ยอดไม้ปลิวไหวกับสายลมอ่อน อ่อน ไม่นานลมเริ่มแรงขึ้น เตรียมพร้อมหอบฝนห่าใหญ่ ปานพายุเข้ากระหน่ำท้องทุ่ง อย่างไม่ปราณีปราศัย และหนักหน่วงอย่างที่มันเคยเป็น
ผมนั่งอยู่บนหลังควายด่อน (ควายตัวสีขาว) มีพี่ชายสองคนจูงควายเดินนำหน้า มุ่งหน้าจาก นา เข้าสู่บ้าน ระยะทาง 3 กิโลเมตรเดิน มันคงไม่เรียกว่าใกล้สำหรับคนกรุงที่ต้องเดิน แต่เราชาวนาต้องเดินจูงควายออกสู่ท้องทุ่งและกลับเข้าสู่ สถานที่พักพิงที่เรียกว่าบ้าน ทุกวัน เช้า ค่ำ มันไม่ไกลเลย
แต่ ด้วยความที่ต้องเดินท่ามกลายสายฝนกระหน่ำ อย่างวันนี้ มันช่างไกลแสนไกล
ด้วยความที่เปียกปอนและพายุพัดแรง ทั้งสามคนและควายหนึ่งตัว ได้เดินมาหยุดอยู่ที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน
ไป เพื่อให้ได้มา
ป่านนี้ ขบวนรถไฟสายนั้น คงวิ่งเหยาะๆ เรียบชายทะเล มุ่งหน้าลงสู่ดินแดนใต้สุดของสยามเขตอยู่ ไม่มีข้ออ้างหรือคำทัดทานใดๆ ที่จะสามารถเหนี่ยวรั้งเจ้าของชีวิต ที่กำลังเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา ที่เธอได้จากมา เมื่อครั้งเรียนจบมหาวิทยาลัย
ไม่ใช่เพียงเพราะเธอได้ตัดสินใจที่จะไปเฉยๆ แต่เป็นการไป เพื่อเจอสิ่งที่ตัวเองได้ตั้งใจว่ามันจะเจอ ถึงแม้ไม่รู้ว่ามันจะได้ผมตอบแทนกลับมายังไง หรือตามที่ตัวเองหวังหรือเปล่า
แต่เพียงเพราะมันถึงเวลา แค่นั้นเอง
“เฮ้ย ปลา แดกพิซซ่าหวะ กูเลี้ยง” ผมยิงคำถามเข้าจู่โจมปลายสาย ก่อนที่ชายคนนั้นจะตั้งตัวทัน
“กูไม่มีตังค์” เพื่อนสนิท ที่ผมยังไม่เคยเห็นหน้าเลยตั้งแต่เกิดมา ตอบกลับมา
“กูบอกว่ากุเลี้ยง แถวๆ เมเจอร์ รัชโยธินนะ” ผมสำทับต่อ
“เออ ออกมาแล้วโทรหากูแล้วกัน เดี๋ยวกุเดินออกไป” ปลายสายตอบตกลงกลับมา