Blogs
การไถนาแห่งยุคสมัย
สิ่งที่ผมเสียดายที่สุดในชีวิตสิ่งหนึ่งนั่นก็คือ “ผมไถนาโดยใช้ควายไม่เป็น” ทั้งๆ ที่ผมเป็นลูกชาวนาแท้ๆ แม้จะเป็นเพียงแค่การทำนาเพื่อกินในครอบครัว ไม่ถึงกับต้องเอาไปขาย แต่ก็ยังถือเป็นชาวนา ก็ยังดีที่ผมยังดำนา เกี่ยวข้าว ตกกล้าเป็น ผมไม่โทษพ่อของผม ที่ไม่ยอมสอนผมไถนา ท่านอาจจะอยากสอน แต่ว่าตอนนั้นผมอาจจะขี้เกียจไม่อยากเรียนรู้เองก็ได้ แต่คิดว่าคงไม่ใช่ สาเหตุน่าจะมาจากความขี้โรคของผมมากกว่า เพราะอีสานบ้านผมถ้าจะสอนลูกๆ จับไถก็ให้จับกันตั้งแต่ เก้าขวบ สิบขวบ และในช่วงนั้นผมยังเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
เกือบยี่สิบปีผ่านไป ที่บ้านผมยังทำนา แต่ไม่เหมือนเดิม เพราะพ่อผมจากไปนานแล้ว เหลือที่นาไม่กี่ไร่ให้ลูกๆ จัดแบ่งกันทำกินต่อ ส่วนตัวผมต้องไปหาเอาเองข้างหน้าไม่มีมรดกหรือผืนดินให้ เพราะถือว่าเป็นลูกผู้ชายที่ได้รับการส่งเสียให้เรียนจบปริญญาตรีโดยงบ กยศ. ของรัฐบาลมาแล้ว
พัดผ่าน
ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผมได้นั่งก้นร้อนๆ ในกรุงเทพ มันเป็นความไม่เต็มยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีกลิ่นคุ้นเคยเจือจานอยู่ แต่ไม่ดูดใจ ผมเพียงแวะมาเพื่อผ่านไป ไปยังจุดหมายเพียงเมื่อถึงจึงได้จากมาเฉกเช่นกัน จึงเป็นการเดินทางพัดผ่าน พัดผ่านและผันผ่าน เพียงแค่ทิ้งร่องรอยไว้เบื้องหลัง
ไปไม่ถึง ไปไม่ถึงในความตั้งใจ ผมจำได้ว่าแม่ผมรออยู่ที่บ้าน แต่ผมไปไม่ถึง จึงได้แค่กล่าวเลื่อนลอยในอากาศ ฝากเสาสัญญาณนำถ้อยคำอ่อยอ้อน เยิ่นเย้อ ว่า จะกลับมาใหม่เมื่อเวลาอำนวย
อย่างนั้น อย่างนี้หนอ ชีวิต ชีวิตที่ต่างเห็นฝั่งรำไร ก้าวไปให้มันถึง หลายคนหลายทาง หลายอย่างต่างกัน ในสังคม สังคัง อื้ออึง ยึดยื้อแย่งทึง รุมทึ้งระคนคัน
เพียงเพื่อให้ได้หายใจ เพียงเพื่อให้ได้มีที่ยืนอยู่ บนเปลือกโลกในนามสมมุติ สถาปณาตน ว่าคนคือสิ่งประเสิรฐ แต่ไฉนเล่าจะเลอเลิศเหนือสิ่งมีชีวิตอื่นใดในโลกนี้ แค่เพียงเพราะวิวัฒนาการล้ำหน้ากระนั้นหรือ
ในวันที่ผมจากไป
เปลี่ยนไปทุกอย่าง เปลี่ยนไปทุกทาง ผมหลุดออกจากโลกที่วุ่นวายขายปลาแดก ไปสู่ดงของคนที่นับหัวได้ เพราะมีกันแค่ไม่กี่สิบชีวิต ในอารมณ์ที่ถูกเรียกว่า “ชีวิตกองถ่าย” แน่นอนครับ กองถ่าย เขาถ่ายทำหนังกัน มันจึงแตกต่างจากชีวิตเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่ผมต้องวุ่นๆ วายๆ อยู่กับการเขียนเว็บ งานเขียนเว็บมันนั่งๆ นอนๆ อยู่คนเดียวก็ได้ แต่ในกองถ่ายมันไม่ใช่
หยุด เป็นสิ่งที่ผมรู้สึก หยุดในที่นี้คือการตัดแบบหักดิบไปเลย ถ้าใครเป็นโรคเสพติดอินเทอร์เน็ตคงวุ่นวายทรมานใจน่าดู แต่ผมไม่ได้เป็นพวกบ้าแชท หรือต้องตามตอบกระทู้ทุกวันขนาดนั้น แต่สิ่งที่ผมรู้สึกโหยหาคือ ร้านหนังสือ ละเมียดทีละหน้า พลิกอ่านไปเรื่อยๆ นั่นต่างหาก
ผมเพิ่งออกมาจากป่าเมื่อวานนี้ หลังจากที่เข้าไปล่อยุงป่าสามวันสองคืน แบบซักแห้งตามสไตล์ (แม้เขาจะมีน้ำให้ แต่ผมไม่ยอมอาบเอง) เป็นโลกแปลกๆ อีกแบบ หลังจากที่อยู่ในป่าคอนกรีตมาหลายปี
ผมต้องขออภัย ที่ไม่ได้เข้ามาตอบคำถาม เขียนบทความบอกเล่าเรื่องราวการเขียนเว็บ อย่างที่เป็นเหมือนเคย
หรือว่าตับของคุณมีปัญหา ครับ
ผมเกลียดเว็บประเภทไหนมากที่สุดหนะหรือ เว็บที่เวลาคลิ๊กลิงค์แล้วเปิดหน้าใหม่ไงครับ ทำไมหนะหรือ ก็เครื่องผมมันแรงน้อย แรมน้อย เปิดหน้าใหม่ทีไร บราวเซอร์มันแดกแรมเพิ่มทุกที ทำเอาเครื่องช้า ที่สำคัญเว็บที่ผมเข้าบ่อยๆ มันก็ไม่มีการเปิดหน้าใหม่รำคาญใจ เลยไม่ชินกับการเข้าเว็บที่เปิดหน้าใหม่เรื่อย ๆ
ยิ่งในเรื่องของหลักการทำงาน กับความเป็น Web Standards ด้วยแล้ว การที่จะให้เว็บเปิดหน้าใหม่ ที่นิยมกันมักจะใช้ attribute target Blank เข้ามาช่วย ซึ่งถ้ามันเข้ากันได้กับ DTD ของหน้าเว็บนั้นๆ มันก็ไม่เสียหาย แค่เสียอารมณ์ แต่ ใส่มาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ และไม่รู้เรื่องนี้ มันไม่น่าให้อภัยเท่าไหร่
ใส่ใจกับความเป็น Document ของเนื้อหาบ้างก็ดี DTD มีไว้ก็อย่าขัดกัน
ความเปลี่ยนแปลง
ผมไม่ได้ดูทีวีนานแล้ว ไม่ได้ดูในที่นี้หมายถึงไม่ได้ดูจริงๆ จังๆ และไม่ได้เป็นรายกายการทีวี อาจจะนับชั่วโมงได้เลย ถ้านับเอาแบบผ่านๆ ผมหันหลังให้ทีวีไปตั้งแต่ต้นปี 2550 เสพข่าวสารบ้านเมืองจากสื่อทางอินเทอร์เน็ตแทน แต่สิ่งที่ผมขาดไม่ได้คือหนังสือและนิตยสารที่ผมต้องอ่านประจำ
ผมยังรู้สึกว่าตัวหนังสือบนกระดาษ ที่ถูกกลั่นกลองออกมาจากคนทำงานสู่คนเสพงานจริงๆ แล้วเราสามารถจินตนาการต่อจากตัวหนังสือเหล่านั้นได้ ไม่ใช่เห็นภาพชัดเจนแล้วก็ล้มหายตายจากไป
สิ่งหนึ่งที่ผมรักความเป็นหนังสือก็คือ สามารถเปิดอ่านได้โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก ยกเว้นถ้าต้องการอ่านในยามค่ำคืน หรือสถานที่มืด จำเป็นก็ต้องหาไฟมาส่องสว่าง นั่นยังเป็นเสน่ห์ของหนังสือกับผม ไม่ได้ดูทีวี มันทำให้ชีวิตผมพลาดอะไรไปหรือไม่ ผมก็คงตอบแบบผมว่า ผมไม่ได้รู้สึกขาดอะไรไป เพราะสิ่งที่มีอยู่ในทีวีบ้านเรา โดยเฉพาะที่เป็นฟรีทีวี แทบไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจสำหรับผมเลย ยกเว้นแต่ว่าจะมีรายการถ่ายทอดสดฟุตบอลต่างประเทศทีมโปรดเท่านั้นเอง
ไปเตะบอล
ด้วยความอยาก หลังจากที่โหยหาสนามมานาน ครั้งล่าสุดที่ผมได้ไปวิ่งเล่น ออกกำลังกายด้วยการเล่นฟุตบอล ก็ครั้งกระโน้นที่ยังอยู่หาดใหญ่ ราวๆ เดือนพฤศจิกายน แต่ตอนนี้มันกรุงเทพ สนามบอล จึงหายากเป็นเท่าทวีคูณ
ไม่มีคำปฏิเสธใดๆ หลังจากที่บ่ายวันหนึ่ง นายตั้ม เดินมาหาที่โต๊ะทำงานแล้วถามว่า เตะบอลเป็นไหมพี่
โอ้โห ถามอย่างนี้มันดูถูกกันชัดๆ แต่จะตอบว่าเตะเป็นมันก็กะไรอยู่ กลัวไปวิ่งจริงแล้วพลาด อายเป็นเหมือนกัน ก็เลยตอบไปว่า อยู่ที่คู่แข่งว่าเก่งแค่ไหน
เอิ้ก แต่จริงๆ แล้วเตะไม่เป็นหรอก แต่พอได้ เพราะอยากวิ่งออกกำลังกายเต็มทน
คุยกันไปชั่วครู่ก็เป็นอันเข้าใจว่า นายตั้ม ไปท้าดวลฟุตซอลเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งไว้ ติดปลายนวมบ้างนิดหน่อย พอเป็นเครื่องนำกำลังใจ เราก็เลยต้องเดินรวมพลกันทั่วออฟฟิศ ได้นักเตะมาทั้งสิน 6 คน รวมตัวผมด้วย แล้วเราก็ออกเดินทางไปยังแถบสะพานพระนั่งเกล้ากันอย่างฮึกเหิม โอ้โห สนามอย่างนี้เลยหรือ indoor หญ้าเทียม ผมก็เดินไปเกาะรั้วดูเขาเล่นก่อน มีแต่มืออาชีพกันทั้งนั้น มองดูสภาพฝั่งตัวเอง ออกแนวขี้ยาเห็นๆ คุ้มกันไหมเนี่ยกับค่าสนาม สองชั่วโมงพันห้า ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ต้องเล่น